“สิว” บนใบหน้าไม่ได้ทำให้เกิดความกังวลใจเท่านั้น หากแต่ยังอาจทิ้งร่องรอยหรือแผลเป็นไว้จนทำให้หมดความมั่นใจได้อีกด้วย
รู้จักรอยแผลเป็นจากสิว
รอยแผลเป็นจากสิวคือร่องรอยของแผลที่เกิดจากการเป็นสิว เนื่องจากการอักเสบที่เกิดขึ้นในช่วงเป็นสิวจะเป็นตัวทำลายคอลลาเจนและเนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นสิวจนทำให้เกิดร่องรอยขึ้นหลังจากสิวหายอักเสบ และมีแผลเป็นจากสิวบางประเภทที่ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าร่องรอยจะหายไป นอกจากนี้การบีบหรือกดสิวก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้เช่นเดียวกัน
ประเภทของรอยสิว
สำหรับรอยของสิวนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- รอยสิวทั่วไป จะมีลักษณะเป็นรอยหลุมสิวแบบตื้น ๆ มีสีแดงออกน้ำตาล ซึ่งจะค่อย ๆ จางหรือเลือนหายไปโดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา
- รอยสิวแบบหลุมลึก เป็นรอยแผลจากสิวที่มีลักษณะเป็นหลุมลึกลงไปในชั้นผิว ซึ่งแพทย์จะพิจารณารักษาหรือทำหัตถการตามความเหมาะสม โดยรอยสิวแบบหลุมลึกนี้ยังแบ่งเป็น 5 ประเภท คือ
- รอยแผลเป็นจากสิวแบบจุดหลุมลึกหรือเรียกว่า Ice-pick Scars
- รอยแผลเป็นจากสิวแบบหลุมที่มีลักษณะแบนและบาง เรียกว่า Atrophic Scars
- รอยแผลเป็นจากสิวที่มีลักษณะเป็นจุดหลุมบนผิวหนังหรือเป็นหลุมสิวแบบตื้น ๆ ซึ่งเรียกว่า Rolling Scars
- รอยแผลเป็นจากสิวที่มีลักษณะเป็นหลุมกว้างมีขอบหลุมปรากฏชัดเจน ซึ่งเรียกว่า Boxcar Scars
- รอยแผลเป็นจากสิวที่มีลักษณะนูนขึ้นมาจากผิวหนัง เรียกว่า Hypertrophic
การดูแลและรักษารอยแผลเป็นจากสิว
โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีรอยแผลจากการเป็นสิวสามารถปกปิดร่องรอยของแผลเป็นจากสิวได้ด้วยการใช้ครีมรองพื้นปกปิด แต่หากต้องการรักษาร่องรอยจากสิวเหล่านี้ให้หายก็ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์รักษาสิวกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้
- ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของคอร์ติโซน เหมาะสำหรับการใช้รักษาสิวที่มีลักษณะบวมหรือเป็นรอยแดง โดยครีมที่มีส่วนผสมของคอร์ติโซนนี้จะทำหน้าที่ช่วยลดความอักเสบของผิวหนัง ทำให้ผิวอักเสบสีแดงค่อย ๆ จางลงและสิวก็ยุบตัวลงด้วย
- ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวที่มีสารบำรุงผิวเพื่อช่วยลดเลือนรอยสิว ซึ่งสารที่มีสรรพคุณในด้านการบำรุงผิวนี้ ได้แก่
- วิตามินซี มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการอักเสบของร่างกาย ลดรอยดำจากสิวและช่วยสร้างคอลลาเจน
- ไนอะซินาไมด์ ช่วยต้านการอักเสบ ลดรอยแดง และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสัดส่วนของสารนี้ไม่เกิน 4% ซึ่งได้รับการศึกษาแล้วพบว่าเหมาะสมต่อการรักษาสิว
- เซราไมด์ เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติ จะทำหน้าที่เป็นเกราะปกป้องผิว รักษาความชุ่มชื้น และช่วยให้ผิวแข็งแรง
- อาร์บูตินและกรดโคจิก มีสรรพคุณช่วยลดรอยดำและรอยแผลเป็นจากสิว
- การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการรักษารอยแผลสิวที่มีลักษณะบุ๋มลงไป เพื่อทำให้รอยดังกล่าวตื้นมากขึ้น
- การทำเลเซอร์ เพื่อกำจัดผิวหนังชั้นนอกที่เกิดร่องรอยจากสิวทิ้งไป พร้อมกระตุ้นการเกิดเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียน
- การฉีดสเตียรอยด์ สำหรับการรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่มีลักษณะนูน
ทั้งนี้หากร่องรอยของสิวสร้างความกังวลใจหรือทำให้ขาดความมั่นใจ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยรักษาหรือจัดการกับปัญหาได้อย่างตรงจุด