มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” (lymphoma) ถือเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในหมู่คนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคนสูง
อายุตั้งแต่ 60 – 70 ปี ซึ่งผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีร่างกายอ่อนแอ เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่ายเพราะต่อมน้ำเหลืองมีหน้าที่ผลิตน้ำเหลืองที่มีเม็ดเลือดขาวไปต่อสู้กับเชื้อโรคทั่วทั้งร่างกายทำงานผิดปกติเนื่องจากถูกเซลล์มะเร็งคุกคาม จากนั้นเซลล์มะเร็งก็จะแพร่กระจายไปยังอวัยวะสำคัญต่าง ๆ จนสุดท้ายร่างกายทำงานล้มเหลวและเสียชีวิตในที่สุด แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีทางการแพทย์ได้ก้าวหน้าไปมาก ทำให้มีวิธีการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองหลากหลายวิธี ซึ่งหนึ่งในวิธีที่เรียกได้ว่าทันสมัยที่สุดก็คือ “เซลล์บําบัด” (cell therapy) และวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับวิธีนี้กัน
“เซลล์บําบัด” คืออะไร?
“เซลล์บำบัด” เป็นวิธีการรักษาโรคร้ายต่าง ๆ โดยการนำเซลล์สุขภาพดีเข้าไปสู่ร่างกายผู้ป่วยเพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์ที่เสียหาย ฟื้นฟูให้เซลล์กลับมาทำงานได้เป็นปกติ ไม่ใช่เพียงแค่ระงับอาการของโรคเท่านั้น แต่เป็นการสร้างและปรับปรุงเซลล์ให้มีการทำงานที่ดีขึ้นกว่าเดิม ลดโอกาสป่วยเป็นโรคเดิมซ้ำ ซึ่งผู้ที่คิดค้นวิธีการรักษานี้คือ “ดร.เพาล์ นีฮันส์” (Dr. Paul Niehans) ในปี 1931 โดยใช้ต่อมพาราไทรอยด์ของลูกวัวฉีดให้กับผู้ป่วยที่ถูกตัดต่อมพาราไทรอยด์ ผลปรากฏว่าผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติต่อมาอีก 30 ปี
“สเต็มเซลล์” คืออะไร?
“สเต็มเซลล์” (stem cell) เป็นหนึ่งในกระบวนการรักษาแบบเซลล์บําบัดที่ก้าวหน้ามากที่สุดในปัจจุบัน โดยปกติแล้วร่างกายคนเราจะมีสิ่งที่เรียกว่า สเต็มเซลล์ อยู่แล้ว แต่มีจำนวนน้อยมาก คอยทำหน้าที่รักษาและซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ เวลามีบาดแผลหรือได้รับความเสียหาย ดังนั้น เราจึงสามารถนำสเต็มเซลล์ของผู้อื่น (ที่เข้ากัน) หรือของตนเองรวมถึงลูกน้อยที่เก็บเอาไว้ตั้งแต่แรกเกิดมาใช้รักษาโรคร้ายต่าง ๆ ให้ตัวเราเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะโรคร้ายแรงที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค เช่น โรคมะเร็ง, โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคพันธุกรรม รวมถึงโรคเกี่ยวกับโลหิตต่าง ๆ เป็นต้น
การเก็บ “สเต็มเซลล์” เก็บได้จากที่ไหนบ้าง?
ปัจจุบัน พ่อแม่หลายคนหันมาให้ความสำคัญกับการเก็บ “สเต็มเซลล์” ลูกน้อยของตัวเองตั้งแต่แรกเกิด เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในกรณีที่ลูกอาจป่วยเป็นโรคร้ายแรงต่าง ๆ ในอนาคต โดยสามารถเลือกเก็บจากแหล่งต้นกำเนิดที่แตกต่างกันเพื่อนำไปใช้กับผู้รับที่แตกต่างกันได้ดังต่อไปนี้
– เนื้อเยื้อไขมัน Adipose Tissue สามารถใช้ประโยชน์ทางการแพทย์กับพ่อแม่ได้
– เลือดสายสะดือ Cord Blood (CB) และเนื้อเยื่อหุ้มรก Amnion Tissue (AT) สามารถใช้ประโยชน์ทางการแพทย์กับตัวเด็กเองได้
– เนื้อเยื่อสายสะดือ Cord Tissue (CT) และเนื้อเยื่อหุ้มรก Amnion Tissue (AT) สามารถใช้ประโยชน์ทางการแพทย์กับทุกคนในครอบครัวได้
สเต็มเซลล์รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ ได้แก่ การปลูกถ่ายโดยอาศัยเซลล์ของผู้บริจาค (Allogeneic Transplantation) และการปลูกถ่ายโดยอาศัยเซลล์ของผู้ป่วยเอง (Autologous Transplantation)
– การปลูกถ่ายโดยอาศัยเซลล์ของผู้บริจาค โดยผู้บริจาคอาจเป็นคนในครอบครัว หรือใครก็ได้ที่ได้บริจาคเลือดหรือไขกระดูกไว้กับธนาคารเลือด ข้อดีคือช่วยลดโอกาสที่มะเร็งจะย้อนกลับเป็นซ้ำ แต่ข้อเสียคือมีโอกาสที่ร่างกายอาจต่อต้านสเต็มเซลล์ และอาจมีผลข้างเคียงจากการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
– การปลูกถ่ายโดยอาศัยเซลล์ของผู้ป่วยเอง มีข้อดีคือลดโอกาสที่ร่างกายจะต่อต้านสเต็มเซลล์ ทำให้มีโอกาสปลูกถ่ายสำเร็จสูง ผลข้างเคียงน้อย แต่มีข้อเสียคือมีโอกาสที่โรคมะเร็งจะย้อนกลับมาอีกรอบ
ทั้งหมดนี้คือสาระความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการรักษาแบบ “เซลล์บำบัด” ซึ่งเป็นวิธีการรักษาโรคสมัยใหม่ที่คาดว่าจะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยจากโรคร้ายต่าง ๆ ในอนาคตได้อีกนับไม่ถ้วน แต่อย่าลืมว่าไม่ว่าการแพทย์จะก้าวหน้าไปไกลแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคร้ายต่าง ๆ