โควิดระบาดครั้งนี้ทำให้ใครหลายคนนึกถึงโรคหนึ่งที่เคยระบาดหนักมาแล้วเมื่อ 20 ปีก่อน โดยมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสตระกูลเดียวกันและมีจุดเริ่มต้น
ที่ประเทศจีนเหมือนกัน นั่นคือโรคซาร์ส
โรคซาร์สเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส SARS Coronavirus (SARS CoV) เปรียบได้กับไวรัสตัวพี่ของโคโรนา ส่วนโควิดเป็นไวนัสตัวน้องที่ชื่อว่า SAR CoV-2 ชื่อ SARS ย่อมาจาก Severe Acute Respiratory Syndrome ผู้ได้รับเชื้อไวรัส SARS CoV จะมีอาการรุนแรงและเชื้อลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว สามารถเข้าไปทำลายระบบทางเดินหายใจและทำให้ปอดบวมได้ในเวลาเพียงไม่ถึง 10 วัน นอกจากนี้เชื้อไวรัส SARS_CoV ยังเข้าไปสู่ระบบทางเดินอาหารได้อีกด้วย หากยังจำกันได้การระบาดของโรคซาร์สมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
อาการของซาร์สเร็วและรุนแรงจนตั้งรับไม่ทัน
ผู้ป่วยโรคซาร์สอาการวันแรกจะเหมือนคนเป็นหวัด มีอาการครั่นเนื้อ ครั่นตัว ไข้ขึ้นสูง หลังจากนั้นไม่กี่วันจะมีอาการรุนแรงอย่างเฉียบพลัน เจ็บคอมาก และไอหนัก หายใจลำบากขึ้นเนื่องจากปอดเริ่มติดเชื้อ ปอดเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เชื้อไวรัสจู่โจมและเข้าไปฝังตัวอยู่ในเซลล์ปอด เชื้อไวรัสมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วและทำลายเซลล์ เกิดอาการปอดบวม เท่านั้นยังไม่พอเชื้อไวรัส SARS CoV ยังเข้าไปสู่ระบบทางเดินอาหารทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร ท้องเสีย และเข้าไปสู่ไต ผู้ป่วยจะซูบซีด อาการทรุดลงไปอีก เชื้อไวรัสที่เข้าสู่เส้นเลือดจะทำให้เลือดขาดออกซิเจน อาจถึงแก่ชีวิตถ้ารักษาไม่ทัน
การระบาดของซาร์สน่ากลัวไม่แพ้โควิด
เชื้อไวรัส SARS CoV สามารถแพร่กระจายโดย
ทั้งสองทางนี้ทำให้คนเราต้องระมัดระวังตัวด้วยการรักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อย ๆ และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
วิธีรักษาโรคซาร์ส
จากวิกฤตโรคซาร์สระบาดครั้งนั้น การรักษาผู้ป่วยไม่ถือว่าได้ผล 100% สำหรับผู้ป่วยทุกราย เฉพาะคนที่มีร่างกายแข็งแรงและมีภูมิต้านทานสูงเท่านั้นที่รักษาหายและฟื้นตัวเร็ว ด้วยการใช้ยารักษาตามอาการต่อไปนี้ไปจนค่อย ๆ ดีขึ้น
ส่วนผู้ป่วยบางรายที่ร่างกายไม่แข็งแรง เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวพบว่ามีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงเกิดขึ้น ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ โรคตับ โรคเบาหวาน ยากที่จะฟื้นตัว และบางรายก็ไม่สามารถรักษาหายได้จนกระทั่งเสียชีวิตจากการเป็นโรคปอดบวมตามมา จึงขอย้ำอีกครั้งไม่ว่าโลกของเราจะต้องเผชิญกับไวรัสชนิดใดและมีความร้ายแรงมากหรือน้อยก็ตาม การป้องกันเชื้อโรคด้วยวิธีรักษาสุขอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อย ๆ ชำระล้างร่างกายให้สะอาด และสวมหน้ากากอนามัย จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด