โรคหัวใจ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็น หรือไม่เป็น?

โครหัวใจเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นหรือไม่เป็น

เคยได้ยินใช่ไหมว่า โรคหัวใจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ใครที่มีญาติพี่น้องเป็นโรคหัวใจ อาจกังวลว่า แล้วเราจะเป็นโรคนี้ไปด้วยหรือไม่ จะรู้ได้อย่างไร

ว่าเป็น หรือไม่เป็น?…มาหาคำตอบกัน ส่วนใหญ่แล้ว คนที่เป็นโรคหัวใจในระยะแรกที่เริ่มเป็นจะมีสัญญาณบอก โดยสังเกตตัวเองได้จากอาการเหล่านี้

  • รู้สึกเจ็บหน้าอก แน่นเหมือนโดนรัดหรือถูกกดทับจนหายใจลำบาก ผู้ที่เริ่มเป็น จะสังเกตได้ว่าเวลาเดินไปไหนมาไหน หรือขณะออกกำลังกายจะเหนื่อยง่ายมาก อาจมีอาการในช่วงหลังจากทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ อาการนี้อาจเกิดจากหัวใจขาดเลือด และมีการสูบฉีดเลือดมากกว่าปกติ 
  • ใจสั่น หรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ อาจลองจับชีพจรดูว่าเต้นกี่ครั้งต่อนาที และดูว่าจังหวะการเต้นของหัวใจเป็นไปอย่างสม่ำเสมอหรือผิดจังหวะ
  • หน้ามืด ตาลาย อาจรู้สึกคลื่นไส้ เป็นลม
  • อาการต่าง ๆ ที่เริ่มเป็น จะดีขึ้นเมื่อได้นั่งหรือนอนพัก
  • ขาบวม ถ้าเป็นการบวมจากโรคหัวใจ จะเป็นบริเวณหน้าแข้งหรือที่ปลายเท้าจากการที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนเข้าหัวใจได้ตามปกติ สังเกตได้โดยใช้นิ้วมือกด ถ้าบวม เนื้อจะบุ๋มจมลงไปไม่คืนตัวขึ้นมาในทันที 

อาการเหล่านี้จัดว่าน่าสงสัยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคหัวใจ 100% จนกว่าจะได้รับการวินิจฉัยทางการแพทย์ ซึ่งเป็นวิธีที่มั่นใจได้มากที่สุดว่าเป็นหรือไม่เป็น อย่างไรก็ตาม อาการที่เกิดขึ้นบางอย่างอาจไม่ได้มาจากโรคหัวใจก็ได้ ยังมีความเป็นไปได้ของโรคอื่นที่ส่งสัญญาณคล้าย ๆ กันนี้ อย่างเช่น

  • อาการเจ็บหน้าอกที่มาจากสาเหตุของกล้ามเนื้อหน้าอกหรือเส้นประสาทอักเสบ ผู้ที่เป็นจะรู้สึกเจ็บหน้าอกคล้ายกันแต่จะต่างกันตรงที่ว่า ถ้ากล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทอักเสบจะรู้สึกเหมือนโดนเข็มทิ่มแทงหรือไฟฟ้าช็อต ไม่เหมือนโดนรัดแน่น
  • แน่นหน้าอกเพราะโรคกรดไหลย้อนหรือโรคระบบทางเดินอาหาร อาการแน่นจะต่างจากโรคหัวใจ จะรู้สึกแสบร้อน และอาการเจ็บหน้าอกมักจะไม่ได้เกิดในช่วงที่ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมอะไรที่ใช้แรงจนเหนื่อย
  • ใจสั่น อาจไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจ แต่มีความเป็นไปได้ว่าเกิดจากไทรอยด์เป็นพิษ มีภาวะเลือดจาง หรือเกิดจากการที่ร่างกายขาดน้ำ ดังนั้น ต้องอาศัยการวินิจฉัยทางการแพทย์ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการซักประวัติอย่างละเอียด จึงจะรู้ว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่
  • ขาบวม เป็นอีกอาการหนึ่งที่ไม่ได้บ่งบอกแค่โรคหัวใจ แต่อาจมีสาเหตุมาจากอื่น เช่น โรคไต เมื่อไตทำหน้าที่ขับของเสียได้ไม่ดี ของเสียจึงไปคั่งค้างสะสมอยู่ที่ขาและที่เท้า นอกจากนี้อาการขาบวมยังอาจมีสาเหตุอื่น เช่น การยืนนาน เดินมากเกินไปหรืออาจเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรคอื่นก็ได้เช่นกัน 

การสังเกตตัวเองจากอาการผิดปกติ เป็นวิธีเบื้องต้นที่ดีแม้ว่าข้อสังเกตที่ได้จะใช่หรือไม่ใช่โรคหัวใจก็ตาม แต่ก็ช่วยให้เราพอที่จะประเมินตัวเองและให้รายละเอียดที่สำคัญเวลาไปพบแพทย์ แต่ประเด็นที่น่ากังวลอย่างหนึ่งก็คือ หลายคนไม่มีอาการของโรคเลย จึงไม่ได้ระมัดระวังตัวเอง ทางที่ดีที่สุดก็คือการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี จะได้รู้ว่าเป็น หรือไม่เป็นโรคหัวใจ